เทคนิคการเพาะเลี้ยงและการใช้อาร์ทีเมีย ( Artemia )
อาร์ทีเมียจัดว่าเป็นอาหารธรรมชาติที่สำคัญที่สุดต่อธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าอาหารธรรมชาติชนิดอื่นๆ คือ ตัวอ่อนมีขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 0.4 - 0.5 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับใช้อนุบาลลูกสัตว์น้ำแทบทุกชนิด เมื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัยจะค่อนข้างมีขนาดใหญ่มีความยาวประมาณ 0.8 - 1.2 เซนติเมตร เหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเลี้ยงปลาสวยงาม นอกจากนั้นไรที่สมบูรณ์เพศแล้วยังสามารถแพร่ขยายพันธุ์ทั้งในแบบออกลูกเป็นตัว คือให้ตัวอ่อนออกมาเลย หรือแพร่พันธุ์แบบออกลูกเป็นไข่ โดยไข่ที่ปล่อยออกมาจะมีตัวอ่อนอยู่ภายในฟองละ 1 ตัว เป็นไข่ที่สามารถนำมาเก็บรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลานาน เมื่อใดที่ต้องการตัวอ่อนจึงนำมาดำเนินการฟัก ก็จะได้ตัวอ่อนตามต้องการและมีความแน่นอน ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ อาร์ทีเมียยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความเค็มระดับต่างๆที่กว้างมาก มีการเจริญเติบโตรวดเร็วและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค ทำให้ดำเนินการเพาะเลี้ยงได้ง่าย ปัจจุบันได้มีการเลี้ยงอาร์ทีเมียกันบ้างแล้วในนาเกลือตามจังหวัดแถบชายทะเล ซึ่งส่วนใหญ่จะเลี้ยงเพื่อการรวบรวมอาร์ทีเมียตัวเต็มวัย สำหรับจำหน่ายในสภาพสดเพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์น้ำต่างๆ โดยเฉพาะอาหารของปลาสวยงาม
1.การจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน อาร์ทีเมียเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกกุ้งชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Brine Shrim หรือ Artemia พบทั่วโลกทุกทวีปรวม 47 ประเทศ โดยพบเฉพาะแหล่งน้ำเค็มหรือน้ำเค็มจัดจำนวน 244 แห่ง แต่ที่มีปริมาณมากและพอที่จะรวบรวมส่งออกจำหน่าย มีเพียงไม่กี่แห่ง ที่สำคัญได้แก่ San Francisco Bay และ Great Salt Lake ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่ Buahal Bay ประเทศจีน
Ruppert & Barnes, 1974 ได้จัดลำดับทางอนุกรมวิธานของอาร์ทีเมียไว้ดังนี้
Phylum : Arthropoda
Class : Crustacea
Sub-class : Branchiopoda
Order : Anostraca
Family : Artemiidae
Genus : Artemia
Specie : salina
2 ลักษณะภายนอก
1.การจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน อาร์ทีเมียเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกกุ้งชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Brine Shrim หรือ Artemia พบทั่วโลกทุกทวีปรวม 47 ประเทศ โดยพบเฉพาะแหล่งน้ำเค็มหรือน้ำเค็มจัดจำนวน 244 แห่ง แต่ที่มีปริมาณมากและพอที่จะรวบรวมส่งออกจำหน่าย มีเพียงไม่กี่แห่ง ที่สำคัญได้แก่ San Francisco Bay และ Great Salt Lake ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่ Buahal Bay ประเทศจีน
Ruppert & Barnes, 1974 ได้จัดลำดับทางอนุกรมวิธานของอาร์ทีเมียไว้ดังนี้
Phylum : Arthropoda
Class : Crustacea
Sub-class : Branchiopoda
Order : Anostraca
Family : Artemiidae
Genus : Artemia
Specie : salina
2 ลักษณะภายนอก
ภาพ แสดงลักษณะภายนอกของ Artemia
อาร์ทีเมียมีลำตัวแบนเรียวยาวคล้ายใบไม้ ลำตัวใสแกมชมพู ไม่มีเปลือกแข็งหุ้มลำตัว (Shelless) แต่มีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มไว้ ว่ายน้ำเคลื่อนที่ในลักษณะหงายท้อง ลำตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนหัว (Head) แบ่งออกได้เป็น 6 ปล้อง มีตาเดี่ยวและตารวมที่มีก้านตา 1 คู่ และหนวด 2 คู่
- ส่วนอก (Thorax) แบ่งออกเป็น 11 ปล้อง แต่ละปล้องมีระยางค์ปล้องละ 1 คู่ ทำหน้าที่ทั้งในการว่ายน้ำ หายใจ และช่วยกรองอาหารเข้าปาก
- ส่วนท้อง (Abdomen) แบ่งออกเป็น 8 ปล้อง ปล้องแรกเป็นที่ตั้งของอวัยวะเพศ ปล้องที่ 2 - 7 ไม่มีระยางค์ และปล้องที่ 8 มีแพนหาง 1 คู่
ความแตกต่างระหว่างเพศ โดยปกติเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย และหนวดคู่ที่ 2 ของเพศผู้จะมีขนาดใหญ่คล้ายตะขอใช้เกาะเพศเมีย ทำให้ดูว่ามีส่วนหัวขนาดใหญ่ และเพศเมียจะมีถุงไข่ที่ปล้องแรกของส่วนท้อง
3. การแพร่พันธุ์ อาร์ทีเมียสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ 2 แบบ คือในสภาวะปกติที่ความเค็มตั้งแต่ 20 - 120 ppt จะแพร่พันธุ์โดยออกลูกเป็นตัว ตัวอ่อนจะฟักออกจากไข่ในถุงไข่ของตัวแม่แล้วว่ายน้ำออกมา ไรที่จะแพร่พันธุ์แบบนี้จะสังเกตได้ว่าไข่ที่อยู่ในถุงไข่มีสีขาว เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่น ความเค็มสูงขึ้นมากกว่า 130 ppt หรือมีการแพร่พันธุ์จนมีปริมาณ ตัวอาร์ทีเมียอยู่อย่างหนาแน่น หรือปริมาณอาหารลดลง หรืออุณหภูมิลดต่ำลงมาก หรือคุณสมบัติของน้ำไม่เหมาะสม อาร์ทีเมียส่วนใหญ่จะแพร่พันธุ์แบบออกลูกเป็นไข่ โดยจะปล่อยไข่ที่แก่แล้วออกจากถุงไข่ ไข่จะมีเปลือกหนาและจะไม่ฟักตัวจนกว่าสภาพแวดล้อมจะเหมาะสม ไรที่จะแพร่พันธุ์แบบนี้จะสังเกตได้ว่าไข่ที่อยู่ในถุงไข่มีสีน้ำตาลเข้ม
ภาพ แสดงวงชีวิตของ Artemia
การรวบรวมไข่ที่ Great Salt Lake ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบที่มีพื้นที่มากถึง 4,000 ตารางกิโลเมตร น้ำมีความเค็มอยู่ระหว่าง 150 - 200 ppt ฤดูการเก็บเกี่ยวไข่ไรจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมกราคม ซึ่งอากาศหนาวเย็นทำให้อาร์ทีเมียออกลูกเป็นไข่ บริษัทต่างๆประมาณ 10 บริษัท ที่ได้รับสัมปทานจะส่งเครื่องบินออกสำรวจหากลุ่มไข่ของ อาร์ทีเมีย ซึ่งมักจะลอยเป็นกลุ่มๆในทะเลสาบความยาวกลุ่มละประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร เมื่อพบจะปักทุ่นจับจองเป็นเจ้าของ แล้วแจ้งไปยังเรือให้นำทุ่นลอยลักษณะเดียวกับที่ใช้กันคราบน้ำมัน กันเอาไข่ไว้แล้วใช้เครื่องปั๊มดูดไข่เข้ามาเก็บในถุงกลางลำเรือ ล้างสิ่งสกปรกออกด้วยน้ำเกลือเข้มข้นก่อนเก็บไว้ในห้องเย็นต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 เดือน แล้วนำมาตรวจสอบอัตราการฟักเพื่อคัดเกรดคุณภาพ จากนั้นจึงบรรจุกระป๋องสุญญากาศส่งไปจำหน่ายทั่วโลก
4. วิธีการฟักไข่อาร์ทีเมีย การใช้อาร์ทีเมียในปัจจุบันมักได้จากการซื้อไข่ไรที่บรรจุอยู่ในกระป๋องสุญญากาศ เมื่อต้องการตัวอ่อนของอาร์ทีเมียเมื่อใด ก็นำไข่ไรที่ซื้อไว้มาฟักตัว ซึ่งควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เตรียมภาชนะฟักไข่ ส่วนมากจะใช้ภาชนะทรงกลมที่มีขนาดเล็ก มีความจุประมาณ 5 - 20 ลิตร ยกเว้นฟาร์มขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องเพาะครั้งละมากๆ จะใช้ถังไฟเบอร์ขนาด 100 - 200 ลิตร
- เตรียมน้ำ โดยใช้น้ำทะเลปกติ หรือน้ำจืดผสมด้วยเกลือให้มีความเค็ม 25 ppt (คือ น้ำ 1 ลิตร จะใช้เกลือ 25 กรัม)
- ใส่ไข่อาร์ทีเมียที่เตรียมไว้ ในปริมาณประมาณ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร
- ใส่สายลม เพื่อให้ออกซิเจน และทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำในภาชนะ ซึ่งจะทำให้ไข่ไรไม่ตกตะกอน แต่ลอยหมุนเวียนไปมาในน้ำตลอดเวลา
- ใช้เวลา 24 - 36 ชั่วโมง ไรจะฟักตัวออกจากไข่ จะสังเกตได้ว่าน้ำในภาชนะที่ใช้ฟักไข่มีสีส้ม เนื่องจากตัวอ่อนของอาร์ทีเมียที่ออกจากไข่ใหม่ๆ ตัวจะมีสีส้มเข้ม เหมาะที่จะนำไปใช้อนุบาลลูกปลา
5. การแยกตัวอ่อนของอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ ตัวอ่อนของไรที่ได้จากการฟักตัวจะมีเปลือกไข่ปะปนอยู่ด้วย จำเป็นต้องแยกตัวอ่อนออกจากเปลือกไข่ เพราะลูกปลาไม่สามารถย่อยเปลือกไข่ได้ และที่สำคัญคือเปลือกไข่มักมีแบคทีเรียอยู่มาก จะทำให้ปลาติดเชื้อได้ง่าย จึงต้องแยกเปลือกไข่ออกทิ้ง โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
- ยกสายลมออก เพื่อให้น้ำหยุดการหมุนเวียน
- ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 - 20 นาที ตัวอ่อนของไรจะว่ายน้ำลงไปรวมกลุ่มอยู่ตามก้นภาชนะ ส่วนเปลือกไข่ที่ไรฟักตัวออกไปแล้วจะลอยอยู่ผิวน้ำ สำหรับไข่ที่ไม่ฟักตัวและตะกอนต่างๆจะตกตะกอนอยู่ก้นภาชนะ
- ใช้สายยางเล็กๆหรือสายลมดูดเอาตัวอ่อนอาร์ทีเมียโดยวิธีกาลักน้ำที่ก้นภาชนะ แล้วกรองไว้ด้วยกระชอนผ้าตาถี่
- นำตัวอ่อนอาร์ทีเมียที่อยู่ในกระชอนไปแกว่งล้างน้ำจืด 2 - 3 ครั้ง ก่อนนำไปเลี้ยงลูกปลา
6. เทคนิคการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ เนื่องจากมักเกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อเพราะแยกเปลือกไข่ออกไม่หมด จึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะแยกเปลือกไข่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทำได้ดังนี้
- เมื่อยกสายลมออกแล้วให้ตะแคงภาชนะไปทางด้านที่มีแสงเข้ามา เพราะตัวอ่อนอาร์ทีเมียชอบว่ายน้ำเข้าหาแสง จะทำให้ไรว่ายน้ำลงไปรวมกันในส่วนลึกเกือบหมด ทำให้สะดวกในการดูดตัวไรออกมาได้ง่ายขึ้น
- เมื่อยกสายลมออกแล้วใช้กระดาษทึบแสงปิดรอบภาชนะ เว้นเฉพาะทางด้านก้นภาชนะไว้ประมาณ 3 เซนติเมตร จะทำให้ไรส่วนใหญ่ว่ายน้ำลงไปรวมที่ช่องแสงที่ก้นภาชนะ ทำให้รวบรวมไรได้ง่ายขึ้น
ภาพแสดงวิธีการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่
7. การเลี้ยงอาร์ทีเมียให้เป็นตัวเต็มวัย การใช้อาร์ทีเมียตัวเต็มวัยเป็นอาหารปลาสวยงามกำลังได้รับความนิยมมาก เพราะอาร์ทีเมียมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างสูงและปลาชอบกิน อีกทั้งปลายังสามารถย่อยได้ดีเหลือกากขับถ่ายออกมาน้อย ดังนั้นหากผู้เลี้ยงปลาสวยงามต้องการเลี้ยงอาร์ทีเมียไว้เลี้ยงปลาสวยงามด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้ไม่ยุ่งยากมากนัก ตามขั้นตอนต่อไปนี้
การเตรียมบ่อเลี้ยง บ่อที่จะใช้เลี้ยงอาร์ทีเมียอาจใช้กะละมังพลาสติกขนาดใหญ่ หรือใช้ถังซีเมนต์กลม(ถังส้วม)ก็ได้ ซึ่งทั้งกะละมังและถังส้วมจะมีรูปทรงเป็นทรงกระบอก การคำนวณหาปริมาตรน้ำในบ่อเลี้ยงนี้จะใช้สูตร
ปริมาตรน้ำ = 22/7 x r x r x h
เมื่อ r = รัศมีของปากบ่อ (ครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลาง)
h = ความสูงของระดับน้ำที่จะใส่ในบ่อ
ตัวอย่าง จะเลี้ยงอาร์ทีเมียในถังซีเมนต์กลม ซึ่งมีความกว้างที่ปากถัง(เส้นผ่าศูนย์กลาง)เท่ากับ 80 เซนติเมตร โดยจะใส่น้ำระดับสูง 30 เซนติเมตร
\ถังซีเมนต์จะมีความจุน้ำ = 22/7 X 40 X 40 X 30
= 150,864 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี)
จาก ปริมาตร 1 ลิตร = 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี)
\ถังซีเมนต์จะมีความจุน้ำ = 150,864 /1,000 ลิตร
= 150.86 ลิตร
นั่นคือ ถังซีเมนต์จุน้ำได้ประมาณ 150 ลิตร
*
การเตรียมน้ำเค็ม เมื่อแช่ถังซีเมนต์จนหมดฤทธิ์ปูนแล้ว ใส่น้ำจืดแล้วเติมเกลือแกงหรือเกลือทะเล(หาซื้อได้จากร้านขายอาหารสัตว์)ให้น้ำมีความเค็มในระดับ 60 - 80 ppt ซึ่งเป็นระดับความเค็มที่อาร์ทีเมียมีการเจริญเติบโตดีและมีอัตราการรอดสูง
จากตัวอย่างข้างต้น ถังซีเมนต์มีความจุน้ำ 150 ลิตร ถ้าต้องการเตรียมน้ำให้มีความ เค็ม 80 ppt จะต้องใส่เกลือเท่าใด
การคิด ความเค็ม 80 ppt หมายความว่า ปริมาตรน้ำ 1 ลิตร จะต้องใส่เกลือ 80 กรัม
- ถังซีเมนต์ดังกล่าวจะต้องเติมเกลือ = 80 X 150 กรัม
= 12,000 กรัม
จาก ปริมาณเกลือ 1 กิโลกรัม = 1,000 กรัม
\ ถังซีเมนต์ดังกล่าวจะต้องเติมเกลือ = 12,000 / 1,000 กิโลกรัม
= 12.0 กิโลกรัม
นั่นคือ เติมเกลือลงในถังซีเมนต์จำนวน 12 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำให้ได้ระดับ 30 เซนติเมตร กวนน้ำให้เกลือละลายจนหมด ก็จะได้น้ำที่มีความเค็ม 80 ppt ตามต้องการ
การเตรียมอาหาร น้ำที่เตรียมเสร็จแล้วนั้นจะไม่มีอาหารธรรมชาติอยู่เลย จะต้องเตรียมให้มีอาหารธรรมชาติสำหรับเป็นอาหารของอาร์ทีเมีย โดยใช้อาหารผง(อาหารผงสำหรับอนุบาลลูกปลาดุก หาซื้อได้จากร้านขายปลาสวยงาม หรือร้านขายอาหารสัตว์) ใส่ลงไปในน้ำจำนวน 2 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่สายลมเพื่อทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียน เป็นการช่วยผสมน้ำเกลือที่เตรียมให้เป็นเนื้อเดียวกัน และช่วยกระจายอาหารให้สลายตัวเกิดอาหารธรรมชาติได้ดี ปล่อยทิ้งไว้ 3 - 4 วัน
หมายเหตุ บ่อเลี้ยงอาร์ทีเมียควรตั้งอยู่ภายนอกอาคาร เพื่อให้ได้รับแสงแดดบ้างพอควร จะทำให้เกิดแพลงตอนพืชได้ดีซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญของไร
เติมเชื้อไร ถ้ามีไข่อาร์ทีเมีย ให้ใช้ไข่ไรประมาณ 1 / 4 ช้อนชา นำไปฟักในภาชนะใช้น้ำประมาณ 5 ลิตรและเตรียมให้มีความเค็ม 25 ppt ใช้เวลาประมาณ 30 ชั่วโมง ไรจะฟักตัวหมด ควรแยกตัวอ่อนไรออกจากเปลือกไข่ ( ดูหัวข้อ 5.5.5 และ 5.5.6 ) ตัวอ่อนไรที่ได้นี้อย่าพึ่งปล่อยลงบ่อเลี้ยงทันที เพราะความเค็มที่ใช้ฟักไข่กับความเค็มที่บ่อเลี้ยงต่างกันมาก ควรปรับความเค็มก่อน โดยใช้ถังพลาสติกที่ใช้ตักน้ำโดยทั่วๆไป ซึ่งจะมีความจุประมาณ 10 - 12 ลิตร นำตัวอ่อนไรที่แยกออกมาจากเปลือกไข่ โดยใช้สายยางดูดให้ได้น้ำมาด้วยประมาณ2 ลิตร ใส่ลงในถังพลาสติก แล้วตักน้ำจากบ่อเลี้ยงที่มีความเค็ม 80 ppt เติมลงในถังครั้งละ 1 ลิตร โดยเติมชั่วโมงละครั้ง และใส่ลมให้น้ำเกิดการหมุนเวียนผสมกัน ทำไปประมาณ 8 - 10 ครั้ง น้ำในถังก็จะมีความเค็มใกล้เคียงกับในบ่อเลี้ยง ก็สามารถเทลงบ่อเลี้ยงได้
ถ้าไม่มีไข่อาร์ทีเมีย หาซื้ออาร์ทีเมียตัวเต็มวัยที่มีขายสำหรับนำไปใช้เลี้ยงปลา นำมาปล่อยลงบ่อเลี้ยง ก่อนปล่อยจะต้องมีการปรับความเค็มน้ำเช่นกัน เพราะไรที่นำมาขายจะถูกปรับมาอยู่ในความเค็มประมาณ 30 ppt
การเติมอาหาร ไรที่ปล่อยเลี้ยงจะต้องมีการให้อาหาร โดยใช้อาหารผงเช่นเดิม ซึ่งในบ่อซีเมนต์ตามตัวอย่างควรให้อาหารวันละประมาณ 1 / 2 ถึง 1 ช้อนชา ขึ้นกับขนาดและปริมาณไร อาหารผงที่ให้จะเป็นทั้งอาหารไรโดยตรง และส่วนที่เหลือจะทำให้เกิดอาหารธรรมชาติได้ ต้องระวังเรื่องน้ำเน่าเสีย หากสังเกตุเห็นว่าอาหารเหลือมากและน้ำมีกลิ่นเหม็นมากควรงดให้อาหารประมาณ 3 วัน แล้วเริ่มให้ใหม่ทีละน้อย
การเก็บเกี่ยวไร การช้อนไรไปใช้นั้นหากปล่อยไรโดยใช้ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่ จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วัน ไรจะเติบโตเป็นตัวเต็มวัย ขึ้นกับปริมาณความหนาแน่นและอาหาร จากนั้นจะสามารถทยอยช้อนไรไปเป็นอาหารปลาได้เรื่อยๆ ไรที่เหลือจะแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นมาเอง ส่วนการปล่อยโดยใช้ไรเต็มวัยก็เช่นเดียวกัน จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วันเช่นกัน ไรที่ปล่อยก็จะแพร่พันธุ์ให้ไรเพิ่มขึ้นจนสามารถเก็บเกี่ยวได้
8. การเตรียมอาร์ทีเมียก่อนนำไปใช้เป็นอาหารปลา ก่อนนำอาร์ทีเมียไปใช้เลี้ยงปลาจะต้องปรับน้ำในตัวไรให้มีความเค็มลดลง เนื่องจากอาร์ทีเมียถูกเลี้ยงในน้ำที่มีความเค็มสูงมาก หากไม่ทำให้ตัวไรจืดลงปลาจะไม่ชอบกินหรือกินได้น้อย ถ้าใช้วิธีช้อนไรมาแช่ในน้ำจืดสนิททันทีทันใด ไรจะเคลื่อนไหวช้าลงแล้วจะตายภายใน 20 - 30 นาที ความเค็มในตัวไรยังลดลงไม่มากนัก การลดความเค็มในตัวไรลงทำได้โดยการใช้ภาชนะเล็กๆ เช่นขันหรือถัง ตักน้ำจากบ่อเลี้ยงไรมาประมาณ 1 / 10 ของภาชนะที่จะใช้ แล้วเติมน้ำจืดให้เกือบเต็ม คนให้เข้ากันแล้วใส่สายลม จะได้น้ำกร่อยที่มีความเค็มประมาณ 5 - 8 ppt จากนั้นช้อนไรที่จะให้ปลากินมาใส่ไว้ ซึ่งที่ความเค็มระดับนี้ไรจะมีชีวิตอยู่ได้ จะมีการว่ายน้ำไปมาตามปกติ ช่วยให้ความเค็มในตัวลดลงได้ดี ควรปล่อยเลี้ยงไว้ประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงจึงนำไปเลี้ยงปลา สำหรับความเค็มในระดับที่เตรียมใหม่นี้ไรจะมีชีวิตอยู่ได้ 1 - 3 วัน ดังนั้นอาจปล่อยไรทิ้งไว้ในตอนเช้าสำหรับใช้เป็นอาหารปลาในตอนเย็น และแช่ไว้ในตอนเย็นสำหรับใช้เป็นอาหารในตอนเช้า ก็จะทำให้ปลากินไรได้ดีและปลอดภัย
9. การเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดิน ปัจจุบันมีฟาร์มเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียภายในประเทศอยู่ประมาณ 20 ฟาร์ม ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี สามารถผลิตอาร์ทีเมียได้วันละ 400 - 1,000 กิโลกรัม การเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดินมีการจัดการดังนี้
การเตรียมบ่อ มักใช้บ่อขนาด 1 - 6 ไร่ ลึกประมาณ 1 เมตร โดยมักขุดบ่อให้มีความยาวไปตามทิศทางลม
การเตรียมน้ำ ใช้น้ำที่มีความเค็มอยู่ระหว่าง 80 - 120 ppt ดังนั้นต้องมีแปลงตากน้ำทะเลเช่นเดียวกับการทำนาเกลือ เพื่อให้น้ำมีความเค็มสูงขึ้นตามที่ต้องการแล้วจึงปล่อยเข้าบ่อเลี้ยง ตรวจสอบค่า pH ให้มีค่าอยู่ระหว่าง 8.0 - 9.0
การปล่อยไรลงบ่อ ถ้าปล่อยไรเต็มวัย จะใช้ไรประมาณ 6 กิโลกรัม / ไร่ แต่ถ้าใช้ไข่มาฟักเพื่อปล่อยตัวอ่อน จะใช้ไข่ไรประมาณ 150 - 200 กรัม / ไร่
การให้อาหาร มีวิธีการทำได้ 2 แบบ คือ
วิธีแรก ให้โดยใส่ลงในบ่อเลี้ยงโดยตรง จะค่อยๆทยอยใส่ทีละน้อย ไรจะกินอาหารไปโดยตรงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะสลายทำให้เกิดอาหารธรรมชาติ อาหารที่ใช้ได้แก่มูลไก่ ประมาณ 200 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน ร่วมกับกากผงชูรส ประมาณ 30 - 90 ลิตร / ไร่ / เดือน
อีกวิธีหนึ่งคือ มีบ่อหมักอาหารต่างหาก จะใส่อาหารลงบ่อหมักให้เน่าเกิดแพลงตอน แล้วจึงทยอยสูบไปลงบ่อเลี้ยง การให้อาหารทั้ง 2 วิธี จะให้มากน้อยและบ่อยครั้งเพียงใด ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และปริมาณอาหารที่มีอยู่ในบ่อ โดยสังเกตจากสีของน้ำและความโปร่งแสง นอกจากนั้นจะมีการใช้ไม้คราดอาหารที่พื้นก้นบ่อให้ฟุ้งกระจาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 - 3 ครั้ง ในปัจจุบันยังนิยมทำคอกไว้มุมบ่อสำหรับหมักหญ้าและเศษพืช เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติมากขึ้น
การเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากปล่อยเลี้ยงไปประมาณ 15 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวไรออกไปจำหน่ายได้ โดยจะได้ผลผลิตประมาณ 50 -100 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน และในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ จะสามารถรวบรวมไข่ไรได้ ประมาณ 5 - 10 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน (น้ำหนักเปียก)
10. การลำเลียงอาร์ทีเมีย วิธีการลำเลียงอาร์ทีเมียที่นิยมกระทำกัน คือ การลำเลียงในสภาพสด โดยบรรจุถุงพลาสติก ถุงละ 1 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำ 5 ลิตร ในถุงจะบรรจุถุงน้ำแข็งอยู่ 2 ถุง แล้วจึงอัดออกซิเจนใส่ถุง จากนั้นนำถุงไปบรรจุลงในลังโฟมซึ่งรองพื้นด้วยน้ำแข็งอีก 6 ถุง ความเย็นจะทำให้ไรสลบ ช่วยลดความบอบช้ำ ทำให้ลำเลียงไปได้ไกลๆ นิยมใช้กับการลำเลียงระยะทางไกลหรือการส่งออก แต่ถ้าลำเลียงระยะใกล้ๆจะใช้วิธีการอัดออกซิเจนเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว
4. วิธีการฟักไข่อาร์ทีเมีย การใช้อาร์ทีเมียในปัจจุบันมักได้จากการซื้อไข่ไรที่บรรจุอยู่ในกระป๋องสุญญากาศ เมื่อต้องการตัวอ่อนของอาร์ทีเมียเมื่อใด ก็นำไข่ไรที่ซื้อไว้มาฟักตัว ซึ่งควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เตรียมภาชนะฟักไข่ ส่วนมากจะใช้ภาชนะทรงกลมที่มีขนาดเล็ก มีความจุประมาณ 5 - 20 ลิตร ยกเว้นฟาร์มขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องเพาะครั้งละมากๆ จะใช้ถังไฟเบอร์ขนาด 100 - 200 ลิตร
- เตรียมน้ำ โดยใช้น้ำทะเลปกติ หรือน้ำจืดผสมด้วยเกลือให้มีความเค็ม 25 ppt (คือ น้ำ 1 ลิตร จะใช้เกลือ 25 กรัม)
- ใส่ไข่อาร์ทีเมียที่เตรียมไว้ ในปริมาณประมาณ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร
- ใส่สายลม เพื่อให้ออกซิเจน และทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำในภาชนะ ซึ่งจะทำให้ไข่ไรไม่ตกตะกอน แต่ลอยหมุนเวียนไปมาในน้ำตลอดเวลา
- ใช้เวลา 24 - 36 ชั่วโมง ไรจะฟักตัวออกจากไข่ จะสังเกตได้ว่าน้ำในภาชนะที่ใช้ฟักไข่มีสีส้ม เนื่องจากตัวอ่อนของอาร์ทีเมียที่ออกจากไข่ใหม่ๆ ตัวจะมีสีส้มเข้ม เหมาะที่จะนำไปใช้อนุบาลลูกปลา
5. การแยกตัวอ่อนของอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ ตัวอ่อนของไรที่ได้จากการฟักตัวจะมีเปลือกไข่ปะปนอยู่ด้วย จำเป็นต้องแยกตัวอ่อนออกจากเปลือกไข่ เพราะลูกปลาไม่สามารถย่อยเปลือกไข่ได้ และที่สำคัญคือเปลือกไข่มักมีแบคทีเรียอยู่มาก จะทำให้ปลาติดเชื้อได้ง่าย จึงต้องแยกเปลือกไข่ออกทิ้ง โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
- ยกสายลมออก เพื่อให้น้ำหยุดการหมุนเวียน
- ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 - 20 นาที ตัวอ่อนของไรจะว่ายน้ำลงไปรวมกลุ่มอยู่ตามก้นภาชนะ ส่วนเปลือกไข่ที่ไรฟักตัวออกไปแล้วจะลอยอยู่ผิวน้ำ สำหรับไข่ที่ไม่ฟักตัวและตะกอนต่างๆจะตกตะกอนอยู่ก้นภาชนะ
- ใช้สายยางเล็กๆหรือสายลมดูดเอาตัวอ่อนอาร์ทีเมียโดยวิธีกาลักน้ำที่ก้นภาชนะ แล้วกรองไว้ด้วยกระชอนผ้าตาถี่
- นำตัวอ่อนอาร์ทีเมียที่อยู่ในกระชอนไปแกว่งล้างน้ำจืด 2 - 3 ครั้ง ก่อนนำไปเลี้ยงลูกปลา
6. เทคนิคการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ เนื่องจากมักเกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อเพราะแยกเปลือกไข่ออกไม่หมด จึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะแยกเปลือกไข่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทำได้ดังนี้
- เมื่อยกสายลมออกแล้วให้ตะแคงภาชนะไปทางด้านที่มีแสงเข้ามา เพราะตัวอ่อนอาร์ทีเมียชอบว่ายน้ำเข้าหาแสง จะทำให้ไรว่ายน้ำลงไปรวมกันในส่วนลึกเกือบหมด ทำให้สะดวกในการดูดตัวไรออกมาได้ง่ายขึ้น
- เมื่อยกสายลมออกแล้วใช้กระดาษทึบแสงปิดรอบภาชนะ เว้นเฉพาะทางด้านก้นภาชนะไว้ประมาณ 3 เซนติเมตร จะทำให้ไรส่วนใหญ่ว่ายน้ำลงไปรวมที่ช่องแสงที่ก้นภาชนะ ทำให้รวบรวมไรได้ง่ายขึ้น
ภาพแสดงวิธีการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่
7. การเลี้ยงอาร์ทีเมียให้เป็นตัวเต็มวัย การใช้อาร์ทีเมียตัวเต็มวัยเป็นอาหารปลาสวยงามกำลังได้รับความนิยมมาก เพราะอาร์ทีเมียมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างสูงและปลาชอบกิน อีกทั้งปลายังสามารถย่อยได้ดีเหลือกากขับถ่ายออกมาน้อย ดังนั้นหากผู้เลี้ยงปลาสวยงามต้องการเลี้ยงอาร์ทีเมียไว้เลี้ยงปลาสวยงามด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้ไม่ยุ่งยากมากนัก ตามขั้นตอนต่อไปนี้
การเตรียมบ่อเลี้ยง บ่อที่จะใช้เลี้ยงอาร์ทีเมียอาจใช้กะละมังพลาสติกขนาดใหญ่ หรือใช้ถังซีเมนต์กลม(ถังส้วม)ก็ได้ ซึ่งทั้งกะละมังและถังส้วมจะมีรูปทรงเป็นทรงกระบอก การคำนวณหาปริมาตรน้ำในบ่อเลี้ยงนี้จะใช้สูตร
ปริมาตรน้ำ = 22/7 x r x r x h
เมื่อ r = รัศมีของปากบ่อ (ครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลาง)
h = ความสูงของระดับน้ำที่จะใส่ในบ่อ
ตัวอย่าง จะเลี้ยงอาร์ทีเมียในถังซีเมนต์กลม ซึ่งมีความกว้างที่ปากถัง(เส้นผ่าศูนย์กลาง)เท่ากับ 80 เซนติเมตร โดยจะใส่น้ำระดับสูง 30 เซนติเมตร
\ถังซีเมนต์จะมีความจุน้ำ = 22/7 X 40 X 40 X 30
= 150,864 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี)
จาก ปริมาตร 1 ลิตร = 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี)
\ถังซีเมนต์จะมีความจุน้ำ = 150,864 /1,000 ลิตร
= 150.86 ลิตร
นั่นคือ ถังซีเมนต์จุน้ำได้ประมาณ 150 ลิตร
*
การเตรียมน้ำเค็ม เมื่อแช่ถังซีเมนต์จนหมดฤทธิ์ปูนแล้ว ใส่น้ำจืดแล้วเติมเกลือแกงหรือเกลือทะเล(หาซื้อได้จากร้านขายอาหารสัตว์)ให้น้ำมีความเค็มในระดับ 60 - 80 ppt ซึ่งเป็นระดับความเค็มที่อาร์ทีเมียมีการเจริญเติบโตดีและมีอัตราการรอดสูง
จากตัวอย่างข้างต้น ถังซีเมนต์มีความจุน้ำ 150 ลิตร ถ้าต้องการเตรียมน้ำให้มีความ เค็ม 80 ppt จะต้องใส่เกลือเท่าใด
การคิด ความเค็ม 80 ppt หมายความว่า ปริมาตรน้ำ 1 ลิตร จะต้องใส่เกลือ 80 กรัม
- ถังซีเมนต์ดังกล่าวจะต้องเติมเกลือ = 80 X 150 กรัม
= 12,000 กรัม
จาก ปริมาณเกลือ 1 กิโลกรัม = 1,000 กรัม
\ ถังซีเมนต์ดังกล่าวจะต้องเติมเกลือ = 12,000 / 1,000 กิโลกรัม
= 12.0 กิโลกรัม
นั่นคือ เติมเกลือลงในถังซีเมนต์จำนวน 12 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำให้ได้ระดับ 30 เซนติเมตร กวนน้ำให้เกลือละลายจนหมด ก็จะได้น้ำที่มีความเค็ม 80 ppt ตามต้องการ
การเตรียมอาหาร น้ำที่เตรียมเสร็จแล้วนั้นจะไม่มีอาหารธรรมชาติอยู่เลย จะต้องเตรียมให้มีอาหารธรรมชาติสำหรับเป็นอาหารของอาร์ทีเมีย โดยใช้อาหารผง(อาหารผงสำหรับอนุบาลลูกปลาดุก หาซื้อได้จากร้านขายปลาสวยงาม หรือร้านขายอาหารสัตว์) ใส่ลงไปในน้ำจำนวน 2 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่สายลมเพื่อทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียน เป็นการช่วยผสมน้ำเกลือที่เตรียมให้เป็นเนื้อเดียวกัน และช่วยกระจายอาหารให้สลายตัวเกิดอาหารธรรมชาติได้ดี ปล่อยทิ้งไว้ 3 - 4 วัน
หมายเหตุ บ่อเลี้ยงอาร์ทีเมียควรตั้งอยู่ภายนอกอาคาร เพื่อให้ได้รับแสงแดดบ้างพอควร จะทำให้เกิดแพลงตอนพืชได้ดีซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญของไร
เติมเชื้อไร ถ้ามีไข่อาร์ทีเมีย ให้ใช้ไข่ไรประมาณ 1 / 4 ช้อนชา นำไปฟักในภาชนะใช้น้ำประมาณ 5 ลิตรและเตรียมให้มีความเค็ม 25 ppt ใช้เวลาประมาณ 30 ชั่วโมง ไรจะฟักตัวหมด ควรแยกตัวอ่อนไรออกจากเปลือกไข่ ( ดูหัวข้อ 5.5.5 และ 5.5.6 ) ตัวอ่อนไรที่ได้นี้อย่าพึ่งปล่อยลงบ่อเลี้ยงทันที เพราะความเค็มที่ใช้ฟักไข่กับความเค็มที่บ่อเลี้ยงต่างกันมาก ควรปรับความเค็มก่อน โดยใช้ถังพลาสติกที่ใช้ตักน้ำโดยทั่วๆไป ซึ่งจะมีความจุประมาณ 10 - 12 ลิตร นำตัวอ่อนไรที่แยกออกมาจากเปลือกไข่ โดยใช้สายยางดูดให้ได้น้ำมาด้วยประมาณ
ถ้าไม่มีไข่อาร์ทีเมีย หาซื้ออาร์ทีเมียตัวเต็มวัยที่มีขายสำหรับนำไปใช้เลี้ยงปลา นำมาปล่อยลงบ่อเลี้ยง ก่อนปล่อยจะต้องมีการปรับความเค็มน้ำเช่นกัน เพราะไรที่นำมาขายจะถูกปรับมาอยู่ในความเค็มประมาณ 30 ppt
การเติมอาหาร ไรที่ปล่อยเลี้ยงจะต้องมีการให้อาหาร โดยใช้อาหารผงเช่นเดิม ซึ่งในบ่อซีเมนต์ตามตัวอย่างควรให้อาหารวันละประมาณ 1 / 2 ถึง 1 ช้อนชา ขึ้นกับขนาดและปริมาณไร อาหารผงที่ให้จะเป็นทั้งอาหารไรโดยตรง และส่วนที่เหลือจะทำให้เกิดอาหารธรรมชาติได้ ต้องระวังเรื่องน้ำเน่าเสีย หากสังเกตุเห็นว่าอาหารเหลือมากและน้ำมีกลิ่นเหม็นมากควรงดให้อาหารประมาณ 3 วัน แล้วเริ่มให้ใหม่ทีละน้อย
การเก็บเกี่ยวไร การช้อนไรไปใช้นั้นหากปล่อยไรโดยใช้ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่ จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วัน ไรจะเติบโตเป็นตัวเต็มวัย ขึ้นกับปริมาณความหนาแน่นและอาหาร จากนั้นจะสามารถทยอยช้อนไรไปเป็นอาหารปลาได้เรื่อยๆ ไรที่เหลือจะแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นมาเอง ส่วนการปล่อยโดยใช้ไรเต็มวัยก็เช่นเดียวกัน จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วันเช่นกัน ไรที่ปล่อยก็จะแพร่พันธุ์ให้ไรเพิ่มขึ้นจนสามารถเก็บเกี่ยวได้
8. การเตรียมอาร์ทีเมียก่อนนำไปใช้เป็นอาหารปลา ก่อนนำอาร์ทีเมียไปใช้เลี้ยงปลาจะต้องปรับน้ำในตัวไรให้มีความเค็มลดลง เนื่องจากอาร์ทีเมียถูกเลี้ยงในน้ำที่มีความเค็มสูงมาก หากไม่ทำให้ตัวไรจืดลงปลาจะไม่ชอบกินหรือกินได้น้อย ถ้าใช้วิธีช้อนไรมาแช่ในน้ำจืดสนิททันทีทันใด ไรจะเคลื่อนไหวช้าลงแล้วจะตายภายใน 20 - 30 นาที ความเค็มในตัวไรยังลดลงไม่มากนัก การลดความเค็มในตัวไรลงทำได้โดยการใช้ภาชนะเล็กๆ เช่นขันหรือถัง ตักน้ำจากบ่อเลี้ยงไรมาประมาณ 1 / 10 ของภาชนะที่จะใช้ แล้วเติมน้ำจืดให้เกือบเต็ม คนให้เข้ากันแล้วใส่สายลม จะได้น้ำกร่อยที่มีความเค็มประมาณ 5 - 8 ppt จากนั้นช้อนไรที่จะให้ปลากินมาใส่ไว้ ซึ่งที่ความเค็มระดับนี้ไรจะมีชีวิตอยู่ได้ จะมีการว่ายน้ำไปมาตามปกติ ช่วยให้ความเค็มในตัวลดลงได้ดี ควรปล่อยเลี้ยงไว้ประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงจึงนำไปเลี้ยงปลา สำหรับความเค็มในระดับที่เตรียมใหม่นี้ไรจะมีชีวิตอยู่ได้ 1 - 3 วัน ดังนั้นอาจปล่อยไรทิ้งไว้ในตอนเช้าสำหรับใช้เป็นอาหารปลาในตอนเย็น และแช่ไว้ในตอนเย็นสำหรับใช้เป็นอาหารในตอนเช้า ก็จะทำให้ปลากินไรได้ดีและปลอดภัย
9. การเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดิน ปัจจุบันมีฟาร์มเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียภายในประเทศอยู่ประมาณ 20 ฟาร์ม ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี สามารถผลิตอาร์ทีเมียได้วันละ 400 - 1,000 กิโลกรัม การเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดินมีการจัดการดังนี้
การเตรียมบ่อ มักใช้บ่อขนาด 1 - 6 ไร่ ลึกประมาณ 1 เมตร โดยมักขุดบ่อให้มีความยาวไปตามทิศทางลม
การเตรียมน้ำ ใช้น้ำที่มีความเค็มอยู่ระหว่าง 80 - 120 ppt ดังนั้นต้องมีแปลงตากน้ำทะเลเช่นเดียวกับการทำนาเกลือ เพื่อให้น้ำมีความเค็มสูงขึ้นตามที่ต้องการแล้วจึงปล่อยเข้าบ่อเลี้ยง ตรวจสอบค่า pH ให้มีค่าอยู่ระหว่าง 8.0 - 9.0
การปล่อยไรลงบ่อ ถ้าปล่อยไรเต็มวัย จะใช้ไรประมาณ 6 กิโลกรัม / ไร่ แต่ถ้าใช้ไข่มาฟักเพื่อปล่อยตัวอ่อน จะใช้ไข่ไรประมาณ 150 - 200 กรัม / ไร่
การให้อาหาร มีวิธีการทำได้ 2 แบบ คือ
วิธีแรก ให้โดยใส่ลงในบ่อเลี้ยงโดยตรง จะค่อยๆทยอยใส่ทีละน้อย ไรจะกินอาหารไปโดยตรงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะสลายทำให้เกิดอาหารธรรมชาติ อาหารที่ใช้ได้แก่มูลไก่ ประมาณ 200 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน ร่วมกับกากผงชูรส ประมาณ 30 - 90 ลิตร / ไร่ / เดือน
อีกวิธีหนึ่งคือ มีบ่อหมักอาหารต่างหาก จะใส่อาหารลงบ่อหมักให้เน่าเกิดแพลงตอน แล้วจึงทยอยสูบไปลงบ่อเลี้ยง การให้อาหารทั้ง 2 วิธี จะให้มากน้อยและบ่อยครั้งเพียงใด ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และปริมาณอาหารที่มีอยู่ในบ่อ โดยสังเกตจากสีของน้ำและความโปร่งแสง นอกจากนั้นจะมีการใช้ไม้คราดอาหารที่พื้นก้นบ่อให้ฟุ้งกระจาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 - 3 ครั้ง ในปัจจุบันยังนิยมทำคอกไว้มุมบ่อสำหรับหมักหญ้าและเศษพืช เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติมากขึ้น
การเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากปล่อยเลี้ยงไปประมาณ 15 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวไรออกไปจำหน่ายได้ โดยจะได้ผลผลิตประมาณ 50 -
10. การลำเลียงอาร์ทีเมีย วิธีการลำเลียงอาร์ทีเมียที่นิยมกระทำกัน คือ การลำเลียงในสภาพสด โดยบรรจุถุงพลาสติก ถุงละ 1 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำ 5 ลิตร ในถุงจะบรรจุถุงน้ำแข็งอยู่ 2 ถุง แล้วจึงอัดออกซิเจนใส่ถุง จากนั้นนำถุงไปบรรจุลงในลังโฟมซึ่งรองพื้นด้วยน้ำแข็งอีก 6 ถุง ความเย็นจะทำให้ไรสลบ ช่วยลดความบอบช้ำ ทำให้ลำเลียงไปได้ไกลๆ นิยมใช้กับการลำเลียงระยะทางไกลหรือการส่งออก แต่ถ้าลำเลียงระยะใกล้ๆจะใช้วิธีการอัดออกซิเจนเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น